วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
10 ผีดังจากทั่วโลก
เคที มอร์แกน 1865-1892 เป็นหญิงสาวสวยชาวอเมริกันที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพนันตัวยง ในวันที่เธอเสียชีวิตนั้นเธอเช็คอินเช่าห้องที่ โรงแรมซาน ดิเอโก คือ เดล โคโรนาโด (Hotel del Coronado) โรงแรมหรูรีสอร์ททรงวิคตอเรียซึ่งตั้งอยู่บนริมชายหาดเกาะโคโรนาโด (Coronado Island) แคลิฟอร์เนียทางใต้ของซานดิเอโก ซึ่งพึ่งเปิดใหม่เพียงสีปีก่อนที่เธอจะมาพักเท่านั้น โดยเธอมาพักตั้งแต่ 25 พฤศจิกายน 1892 และเธอก็ไม่เช็คเอาท์ออกอีกเลย เพราะเธอได้กลายเป็นศพเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 1892 ที่บันได สาเหตุจากลูกปืนฝังในกะโหลกศีรษะของเธอ หลายฝ่ายไม่สามารถสรุปได้ว่าเธอฆ่าตัวตายหรือถูกกันแน่ และนับจากนั้นเป็นต้นมามีรายงานมากมายจากแขกที่มาพักโรงแรมแห่งนี้ว่าได้พบเห็นวิญญาณของเธอ แต่งกายแบบวิคตอเรียสีขาวเดินไปทั่วโรงแรม อยู่ในห้องพักของโรงแรม หรือชายหาด(เพราะเธอชอบเดินชายหาด) นอกจากนี้เธอยังปรากฏตัวออกมาในรูปของเสียงร้องที่ดังโหยหวน แสงไฟวาบแวบ และกลิ่นหอมที่รุนแรงปัจจุบันโรงแรมซาน ดิเอโก คือ เดล โคโรนาโดโรงแรมที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดในเมือง ที่นิยมมากแม้จะมีผีก็ตาม เพราะว่าที่นี้ใช้ผีเป็นจุดขาย ถึงขนาดประกาศหราอยู่กลางเว็บไซต์ และห้องพักที่เธออยู่นั้นคือห้อง 3312 ซึ่งมีราคาแพงเป็นพิเศษ แต่ต่อมาห้องนี้ได้ถูกเปลี่ยนแปลงเนื่องจากมีการขยายโรงแรมใหม่ ถ้าคุณอยากเห็นเธอก็เชิญคลิปยูธูปข้างล่างได้เลย
หากคุณอยู่โรงแรม เดอะ แสตนลีย์ ในพาร์ค เอสเตส รัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกา ให้แนะนำดูภาพยนตร์เรื่อง “เดอะ ไชน์นิ่ง” (The Shining) ของแสตนลีย์ คูบริค ที่สร้างจากนิยายอันดับ 3 ของ สตีเผ่น คิง ตอนกลางคืนจะได้อารมณ์มาก โดยภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าถึงถึงเรื่องราวของครอบครัวทอร์เรนซ์ ที่ประกอบไปด้วย แจ๊ค นักเขียนผู้เคยติดเหล้าและมีประวัติทำร้ายลูกตัวเอง, เวนดี้ ภรรยาที่อ่อนโยน และ แดนนี่ ลูกชายที่มีสัมผัสพิเศษถึงสิ่งเหนือธรรมชาติ ซึ่งตัวแจ๊คพยายามเป็นสามีที่ดี เขาได้งานทำเป็นยามเฝ้าโรงแรมโอเวอร์ลุคยามไร้ผู้คน และที่นั้นเขาก็ได้พบว่าโรงแรมที่เขาเป็นยามแห่งนี้เป็นโรงแรมผีดุ!! แล้วภาพยนตร์เรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับโรงแรมนี้ตรงไหนเหรอ ในตอนนั้นพี่คิงกำลังจะแต่งนิยายนี้เขากำลังโด่งดังจากนิยายสองเรื่องก่อนหน้า เขาเลยวางแผนจะแต่งนิยายที่มีฉากหลังน่ากลัวหน่อย เขาเลยออกเดินทางพร้อมครอบครัวซุ่มไปซุ่มมาจนหยุดโรงแรมแห่งนี้ และก็ก็ประทับใจโรงแรมสแตนลี่ย์ เพราะชื่อเสียงของมันที่ว่า "เป็นหนึ่งในที่พักที่ติดอันดับเรื่องผีชุกชุมมากที่สุดของสหรัฐอเมริกา!” และเป็นโรงแรมเดียวกันกับโรงแรมในภาพยนตร์เรื่อง “เดอะ ไชน์นิ่ง”โรงแรมนี้สร้างขึ้นโดยนาย เอฟ.โอ.แสตนลีย์และภรรยาของเขา ฟลอร่า นายแสตนลีย์เป็นนักธุรกิจผู้มั่งคั่งชาวบอสตันที่ร่ำรวยอย่างมหาศาลจากธุรกิจเครื่องจักรไอน้ำยี่ห้อสแตนลี่ย์ เขาได้ใช้ชีวิตปั่นปลายสุดท้ายในการสร้างโรงแรมด้วยเงินทั้งหมดของเขาที่สวนสวยร่มรื่นแถบเอสเตส ปาร์ค ราวปี 1903 จนสร้างเสร็จปี 1909 แล้วก็กลายเป็นสถานที่ตากอากาศติดอันดับอย่างรวดเร็ว เนื่องด้วยความร่มรื่น บรรยากาศสดชื่นเขียวขจี อากาศก็บริสุทธิ์ ซ้ำยังใกล้อุทยานอีกต่างหาก ผู้คนเลยหลั่งไหลมาจากทั่วสารทิศ หากแต่หลังจากที่ นายแสตนลีย์และภรรยาถึงแก่กรรม ก็มีรายงานมาว่ามีการพบเห็นนาย แสตนลีย์และภรรยาเดินไปทั่วโรงแรม โดยมีคนเห็นผีแสตนลีย์เดินอยู่ที่ล็อบบี้ บาร์ และห้องเล่นบิลเลียด ขณะที่เชื่อกันว่าวิญญาณของฟลอร่านั่งเล่นเปียโนอยู่ในห้องดนตรี เพราะแขกมักจะได้ยินเสียงบรรเลงเพลงมาจากห้องนั้น และเมื่อพวกเขาเปิดประตูเข้าไปดู ก็เห็นเหมือนแป้นกดบนเปียโนกำลังกระเด้งขึ้นๆ ลงๆ เหมือนมีคนเล่น แต่ว่า ไม่มีใครเลย และพอเข้าไปใกล้ๆ (ดูซิ ยังจะกล้าไปดูใกล้ๆ อีก) ดนตรีก็หยุดลงอย่างฉับพลันนอกจากนี้ยังเสียงเด็กที่เล่นกันตรงกลางโถงทางเดิน จนแขกนอนไม่หลับทั้งคืน และในคืนที่สตีเฟ่น คิง(ห้องที่คิงพักคือห้อง 217 ที่เป็นหมายเลขเดียวที่ปรากฏในภาพยนตร์และเป็นห้องที่โด่งดังที่สุดของโรงแรม) พักนั่นเองเขาได้ฝันร้าย โดยฝันว่าลูกชายวันสามขวบของเขาก็วิ่งเข้ามาในห้อง หน้าตาตื่น กรีดร้องเพราะโดนอะไรบางอย่างไล่ล่าตามหลังมา เขาตกใจตื่นเหงื่อท่วมตัว และเดินมาสูบบุหรี่และเขาก็เห็นเทือกเขาร็อกกี้ที่หน้าต่าง แล้วแล้วนิยายเรื่อง The Shining ก็ถือกำเนิดในที่สุด ส่วนในคลิปคือพวกนักล่าผีที่จู่ๆ มีเสียง “Hello” ดังมาทั้งๆ ที่แถวนั้นไม่มีใครอยู่เลย
หากคุณมีเงินสัก 2,750,000 ล้านปอนด์ คนอยากไปซื้ออะไร เราขอแนะนำให้คุณเป็นเจ้าของบ้าน Clifton Hall ที่เมืองนอติงแฮมเชอ ประเทศอังกฤษแห่งนี้ มันเป็นบ้านหลังใหญ่ที่ประวัติศาสตร์ยาวนานตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 เคยเป็นทั้งอพาร์ทเมนท์และโรงเรียน ก่อนที่นักธุรกิจพันล้านนายอันวา ราชิด วัย 32 ปี ได้ซื้อบ้านหลังนี้เอาไว้เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยส่วนตัว โดยตัวเขา กับภรรยาและลูกสาวอายุ3ขวบและ5ขวบและลูกชายตัวน้อยๆวัย18เดือนอีก1คน เป็น5ชีวิตได้ย้ายอาศัยมาอยู่บ้านหลังนี้ ซึ่งแรกๆ มันเป็นบ้านที่สวยงามมากและเพียบพร้อมด้วย 17 ห้องนอน 10 ห้องน้ำ 10 ห้องรับแขก มีทั้งโรงยิมและโรงภาพยนตร์ส่วนตัว และผีสิง!! เพราะพวกเขาเหล่านั้นโดนผีหลอกตั้งแต่วันแรกคืนแรกที่ย้ายเข้าไป เมื่อมีเสียงดังมาจากชั้นบนถามว่า"มีใครอยู่บ้างไหม"นายอันวาคิดว่าหูคงอาจจะแว่วไปเลยไม่ได้สนใจ อีก2นาทีต่อมาก็ได้ยินเสียงนั้นอีก นายอันวา รีบวิ่งขึ้นไปชั้นบนตรวจดูประตูหน้าต่างก็ปิดล็อคไว้หมด ไม่มีร่องรอยของคนปรากฏอยู่เลยต่อมาในตอนตี 5 ของเช้าวันหนึ่งภรรยาของนายอัลวานาง Nabila ได้ตื่นขึ้นมาชงนมให้ลูกชาย นางเหลือบไปเห็นลูกสาวคนหนึ่งนั่งดูทีวีอยู่ นางเรียกเท่าไหร่ๆลูกสาวก็ไม่หันมาตอบ นางก็เลยคิดว่าต้องมีอะไรผิดปกติแน่นอน นางเลยวิ่งขึ้นไปที่ห้องลูกสาวปรากฏว่าลูกสาวทั้งสองคนนอนหลับอยู่ในห้องนอนและแล้วความอดทนของครอบครัวนี้ก็สิ้นสุดลง เมื่อพบว่ามีเลือดแห้งมีกลิ่นเหม็นติดอยู่ที่ผ้าห่มของลูกชายตัวน้อยครอบครัวนี้ก็เลยต้องย้ายออกจากบ้านผีสิงไปในที่สุด ปัจจุบันบ้านหลังนี้ถูกขึ้นบัญชีขายในราคาเพียง 2,750,000 ล้านปอนด์
มีสถานที่แห่งหนึ่งที่ได้รับขนานนามว่าโรงแรมผีดุที่สุดในอเมริกา นั่นก็คือ โรงแรม เมอร์เทิลส์แพลนเทชั่น ในรัฐหลุยเซียน่า(Highway 61 St. Francisville, LA)โรงแรมกลางไร่ เป็นบ้านเก่ายุคอาณานิคม สมัยศตวรรษที่ 18 สร้างในปี 1796ตำนานเล่าว่า ครั้งหนึ่งในสถานที่แห่งนี้มีทาสคนหนึ่งชื่อโคลอี้ที่ชอบแอบฟังเจ้านายเขาคุยกัน วันหนึ่งเธอถูกทำโทษโดยการตัดใบหูข้างหนึ่งของเธอ จนเกิดความแค้นเธอเลยอบเค้กวันเกิดโดยใส่ใบยี่โกซึ่งเป็นพืชมีพิษและให้ครอบครัวของนายจ้างกิน จนเป็นเหตุทำให้ภรรยาและบุตรสาวสองคนตายอย่างทรมานในไม่กี่วันต่อมา ส่วนโคลอี้ก็หนีจากบ้านและถูกฆ่าตัวตายโดยการโดดลงในแม่น้ำมิสซิสซิปปี้ในเวลาต่อมา ทำให้สามีเจ้าของบ้านเสียใจต่อการจากไปของภรรยามากเขาเลยปลูกต้นไม้ในบริเวณบ้านอย่างสวยงาม ก่อนจะอพยพไปนิวออร์ลีน(บางคนบอกว่าไม่มีรายงานว่าทาสโคลอี้นี้มีจริงและลูกสาวที่ว่าตายเพราะจากกินเค้กนั้นยังคงมีชีวิตอยู่)จากนั้นไร่เมอร์เทิลส์ถูกเปลี่ยนมือไปเรื่อยๆ พร้อมด้วยข่าวการฆาตกรรมที่ซับซ้อนและจำนวนคนที่ถูกฆ่าในบ้านหลังนี้มีรายละเอียดเพิ่มเติมมากขึ้นจนไม่รู้อันไหนจริง ไม่จริง บ้างก็ว่าเคยมีทาสผิวดำตายในที่แห่งนี้จำนวนมาก บางคนก็ว่าที่นี้เคยเป็นสุสานของพวกอินเดียแดง บ้านหลังนี้ก็ได้เป็นโรงแรมที่มีรายงานปรากฏการณ์วิญญาณอยู่เสมอ เป็นต้นว่า แขกที่มาพักมักจะเจอกับเสียงแปลกๆอยู่เสมอไม่ว่าจะเป็นเสียงฝีเท้าที่ปราศจากตัว เสียงลากโซ่ตรวนของทาสบางคน บริเวณทางเดินที่เคยมีคนเห็นเด็กผู้หญิงกับเด็กผู้ชายวิ่งเล่นกันในยามดึก เสียงเปียนโนที่ดังขึ้นโดยปราศจากคนเล่น คนเฝ้าประตูโรงแรมเคยเห็นผู้หญิงใส่ชุดขาวในเวลากลางวันแสกๆเดินทะลุประตูเข้าไปโดยเขาไม่ทันจะเปิดประตูให้ เตียงนอนที่ผู้มาพักเล่าว่ามีหญิงผิวดำมาชะโงกหน้าอยู่ข้างเตียง หน้าต่างที่มีผู้พบเห็นเด็กผู้หญิงใส่ชุดนอนลอยอยู่ข้างนอกเอามือป้องหน้ามองเข้ามาข้างใน และโชคดีเมื่อถ่ายรูปอาจมีภาพรางๆของใครก็ไม่รู้ติดมาด้วย ฯลฯปัจจุบันโรงแรมแห่งนี้มีชื่อเสียงในเรื่องผีสิงที่บริการแย่มาก เพราะห้องพักไม่มีน้ำอุ่นให้อาบ สภาพแวดล้อมก็น่ากลัว แทนที่จะอยู่ริมทะเลหรือมีวิวดีๆสวยงามแบบโรงแรมทั่วไป อีกทั้งราคาประมาณ 9,500 บาท มีเพียง 11 เตียงเท่านั้น แต่มันก็ได้รับความนิยมจากแขกมาใช้บริการเสมอ(มีทัวร์ประวัติศาสตร์ด้วยนะ)
โอ้! ผีฟิลิปปินส์! เบื่อผียุโรปแล้วเนอะ คราวนี้มาดูผีในเอเชียดีกว่า ผีตนนี้อยู่ในพื้นที่บริเวณ Balete Drive, นิวมะลิลา , เมืองเกซอน , ฟิลิปปินส์ ซึ่งพื้นที่แห่งนี้เรียกได้ว่าพื้นที่ต้องสาปเลยทีเดียว เพราะที่นี้เต็มไปด้วยเรื่องผีมากมาย เช่น ต้นไทรคำสาป, บ้านผีสิง(สร้างตั้งแต่ยุคสเปน 1800) และที่น่ากลัวที่สุดคือผีที่ปรากฏที่กลางถนนและสร้างความหายนะแก่ผู้คน นั่นก็คือหญิงในชุดขาวที่ตำนานเล่าว่าเธอถูกข่มขืนและฆ่าโดยทหารญี่ปุ่นในสงครามโลก โดยเธอมักปรากฏตัวในรูปของผู้หญิงใส่ชุดสีขาว ผมดำยาวไร้หน้า และยืนเลือดท่วมอยู่กลางถนนตอนกลางคืน จนมีคำแนะนำว่าให้ผุ้ขับขี่หลีกเลี่ยงถนนในเวลากลางคืนโดยเฉพาะหากมีคนอยู่ในรถคนเดียว หากจำเป็นก็อย่ามองด้านหลังที่กระจก ไม่งั้นผีจะขึ้นรถในสภาพเลือดท่วม และสร้างหายนะกับผู้ขับขี่
หากคุณกำลังเดินทางในภาคตะวันออกเฉียงใต้เหนือของ Archer Lane ระหว่าง Willowbrook Ballroom และ สุสานฟื้นคืนชีพ(Resurrection Cemetery) อิลลินอยด์ ชิคาโก ล่ะก็ คุณอย่าจอดรถหญิงสาวนักโบกเด็ดขาด ยิ่งหญิงสาวคนนั้นมีผมสีบลอนด์อ่อนและตาสีฟ้าใส่ชุดสีขาวละก็ยิ่งอย่าให้ขึ้นเด็ดขาด(มีรายงานว่าเธออาจสวมผ้าพันคอและกระเป๋าคลัชขนาดเล็กและไม่พูดไม่จา) เพราะเธอเป็นผีที่ตายมานานตั้งแต่ผี 1930 แต่หากคุณอยากลองของก็ลองพาเธอขึ้นบนรถดู เธอจะบอกว่าให้ไปลงสุสานฟื้นคืนชีพ)ซึ่งอยู่ข้างหน้าและเมื่อสักพักเธอจะหายไปจากเบาะท้ายรถอย่างไร้ร่องรอยเมื่อถึงจุดหมาย(ผ่านหรือใกล้ถึง บางทีเธออาจบอกให้จอดรถเพื่อให้เธอลง และหายไปเมื่อถึงป่าช้า)Resurrection Mary หรือแมรี่คืนชีพ เป็นผีที่ชื่อแมรี่ที่อยู่ในสุสานคืนชีพของพื้นที่ในชิคาโกที่เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องผีที่เป็นสาวนักโบกแล้วหายไปที่เบาะหลังรถที่เธออาศัย เธอมักปรากฏในช่วงทศวรรษที่ 1930 ว่ากันว่าอดีตเธอเป็นหญิงวัยรุ่นชอบเต้นกับแฟนที่บอลรูมและเธอก็ถูกฆ่าในคืนฤดูหนาวพ่อแม่ของเธอเสียใจมากเลยฝังเธอในสุสานฟื้นคืนชีพ ในชุดเต้นที่สวยงาม หรือบางตำนานก็เชื่อว่าเป็นสาวที่ตายเพราะอุบัติเหตุรถยนต์ในปี 1934
ในปี 1641 กัปตัน Van Der Decken ได้สาบานในแหลมกู๊ด โฮป ในในขณะที่พายุฝนกระหน่ำจนเรือที่เขาแล่นมานั้นใกลอัปปาง ว่า “ข้าจะวนเวียนอยู่บริเวณแหลมนี้ ตราบฟ้าดินสลาย” และนี้คือจุดเริ่มต้นของเรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมน เรือปีศาจที่จะร่อนเร่ไปตามน่านน้ำทั่วโลก แต่มันมักจะมาปรากฏตัวให้ผู้คนได้บ่อยในบริเวณ แหลมกู๊ด โฮป จากรายงานพบเห็นว่ากันว่ามันเป็นเรือขนาดใหญ่น่ากลัว มีแสงไฟสีแดงเรืองที่น่ากลัวออกมาจากเรือและมีกัปตันเรือผู้ซึ่งแต่งกายแบบยุคสมัยเก่ายืนคุมเรืออยู่ พร้อมกับส่งเสียงอันโหยหวนน่าขนหัวลุกออกมาเรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมนปรากฏให้ผู้คนเห็นมานานหลายศตวรรษ มีผู้คนได้พบเห็นหลายคนและเมื่อผู้ใดพบเห็นล้วนนำหายนะมาสู่คนที่พบเห็นทั้งสิ้น เช่น ในปี ค.ศ. 1881 คนประจำเรือของพระเจ้าจอร์จที่ 5 ได้เห็นเรือลำใหญ่ลึกลับปรากฏขึ้นทางด้านหัวเรือเมื่อเวลา 4:00 AM และหลังจากนั้นไม่กี่วัน คนประจำเรือคนนั้นก็พลัดตกเสากระโดงเรือตายคาที่ ทุกวันนี้ก็ยังมีคนกล่าวอ้างอยู่เสมอว่าเห็นเรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมนยังคงรอนแรมอยู่เดียวดายกลางทะเลด้วยรูปลักษณ์อันเศร้าโศกและสยดสยองอยู่ และ ริชาร์ด วากเนอร์ คีตกวีชื่อก้องโลกได้อาศัย ตำนานปีศาจนี้แต่งอุปรากรที่มีชื่อว่า Der Fliegende Hollander
ในฤดูร้อนปี ค.ศ. 1865 อับราฮัม ลิงคอล์น ประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกา เดินทางไปชมละครกับภรรยาแล้วถูกลอบสังหารจากชาวใต้หัวรุนแรง นามว่า จอห์น บูธ ผู้ซึ่งโกรธแค้นประธานาธิบดีลินคอล์นตั้งแต่สมัยสงครามการเมืองสหรัฐอเมริกา จอห์น บูธ ถูกตำรวจไล่ล่าและถูกสังหารในโรงเก็บของโดยมีเงื่อนปมว่าการสังหารบูธในครั้งนี้อาจเป็นการฆ่าตัดตอน เพื่อไม่ให้สืบสาวถึงผู้บงการตัวจริง.ว่ากันว่า ลินคอล์นเคยเป็นคนทรงซึ่งติดต่อกับวิญญาณคนตายได้ วิญญาณนั้นเองที่บอกให้เขาให้ปลดปล่อยทาสในภาคใต้ เขาปฏิบัติตามคำแนะนำนั้นจนเป็นจุดเริ่มต้นสงครามกลางเมือง และเมื่อเขาตายลงวิญญาณเขายังไม่ไปสู่สุขคติเพราะใจเขายังยึดติดอยู่ วิญญาณของเขาเลยวนเวียนอยู่บนโลกนี้ค.ศ. 1816 แมรี่ ลินคอล์นเคยไปพบช่างถ่ายภาพรูปวิญญาณชื่อมัมเลอร์ เธอขอให้เขาถ่ายรูปเธอกลับรูปวิญญาณของสามีที่ตายไปแล้ว เมื่อถ่ายภาพของเธอปรากฏว่ามีภาพผีอับราฮัมยืนอยู่ข้างหลังของเธอ แต่ทว่าภายหลังมัมเลอร์ถูกกล่าวหาว่าเป็นหลวกหลวงต้มตุ๋น และภาพบางภาพปรากฏว่าเป็นของปลอม และภายหลังต่อมา นางลินคอล์นกลับเป็นคนวิกลจริตอย่างรุนแรง เพราะความสูญเสียสามีนอกจากนี้ยังมีการรายงานการปรากฏตัวของวิญญาณลินคอล์นในทำเนียบขาวเป็นระยะ เช่น- สมเด็จพระราชินีเฮล์มมิน่าแห่งเนเธอร์แลนด์เคยประทับทำเนียบขาว เคยได้ยินเสียเคาะประตูห้องบรรทม เมื่อเปิดดูเธอถึงกลับล้มทั้งยืนเมื่อทอดพระเนตรเห็นร่างประธานาธิบดีลินคอล์นยืนอยู่ที่นั้น- ประธานาธิบดีรูลเวลท์แม้ไม่เคยพบวิญญาณของประธานธิบดี แต่ท่านเล่าว่าในขณะที่เขาอยู่ลำพังเพียงคนเดียวในห้องสีฟ้า ท่านมักรู้สึกว่ามีวิญญาณของลินคอล์นวนเวียนอยู่ที่นั้น- สาวใช้เคยเล่าให้ภรรยาประธานาธิบดีรูสเวลท์ฟังว่าเคยเห็นวิญญาณลินคอล์นให้ห้องของเขาโดยเห็นท่านนั่งขอบเตียงกำลังถอดรองเท้าบูธออก- ประธานาธิบดีแฮรี่ เอช ทรูแมนเล่าหลายครั้งว่าท่านมักตกใจตื่นเพราะเสียงเคาะประตูห้องนอนในทำเนียบขาว แต่ทรูแมนไม่เคยเห็นกับตาเหมือนสมเด็จพระราชินีเฮล์มมิน่าเท่านั้นเอง
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)










ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น